3 ที่เที่ยวธรรมชาติเมืองไทย ไม่ต้องไปไกลก็เหมือนไปเมืองนอก

3 ที่เที่ยวธรรมชาติเมืองไทย ไม่ต้องไปไกลก็เหมือนไปเมืองนอก

เกาะนามิเมืองไทย สวนสนบ่อแก้ว จังหวัดเชียงใหม่

คอซีรีส์เกาหลีที่ติดใจความงามและความเป็นธรรมชาติของสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตอย่าง  “เกาะนามิ”  วันนี้ไม่ต้องตีตั๋วไปไกลก็สัมผัสความงามแบบ “นามิเมืองไทย” ได้ที่ “สวนสนบ่อแก้ว เชียงใหม่” หรือชื่อแบบเต็มๆว่า  “สถานีวนวัฒนวิจัยบ่อแก้ว” สวนสนแห่งนี้ตั้งอยู่ริมถนนสาย108  ภายในสวนเต็มไปด้วยต้นสนสูงใหญ่ปลูกเรียงอย่างเป็นระเบียบสวยงาม  มีถนนทอดผ่านนำสายตาเข้าไปในดงสนสูงใหญ่  เป็นอีกหนึ่งจุดถ่ายภาพของนักท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมมากๆภาพแสงแดดอ่อนๆ ที่ค่อยๆทาบทอลงมากระทบกับต้นสน และทิวสน  เกิดเป็นภาพสวนสนสุดโรแมนติก  ชนิดที่เรียกได้ว่าไม่ต้องไปไกลถึงเกาหลี ก็ได้บรรยากาศ “เกาะนามิ” ไปแบบเต็มๆ

ทะเลสาบอินเลเมืองไทย สังขละบุรี จังหวัด กาญจนบุรี   

ภาพบรรยากาศอันสวยงาม และ สงบเงียบของ ทะเลสาบอินเล ทะเลสาบสวยท่ามกลางหุบเขาที่สวยงามของรัฐฉาน ประเทศพม่า เป็นอีกหนึ่งภาพงามที่หลายคนติดตาต้องใจ แต่รู้หรือไม่ ที่ สังขละบุรี จังหวัด กาญจนบุรี ก็มีบรรยากาศสวยงามและสงบร่มรื่น ไม่ต่างกัน หากมาเยือน สังขละบุรี ภาพวิถีชีวิตริมน้ำ การปลูกสร้างบ้านในทะเลสาบ ไปจนถึง ความงดงามของธรรมชาติที่รายล้อมทำให้ใครหลายต่อหลายคน ต่างยกนิ้วให้ที่นี่เป็น อีกหนึ่งสถานที่ฝาแฝดของ ทะเลสาบอินเล อยากรู้ว่าจะสวยงามและ เหมือนกันมากแค่ไหน ต้องลองไปชมด้วยตาตนเอง บอกเลยว่าที่นี่เที่ยวได้ตลอดปี แต่ล่ะฤดูก็มีความงดงามแตกต่างกันรับรองว่ามาแล้วต้องประทับใจอย่างแน่นอน

คุนหมิง เมืองไทย สวนหินผางาม จังหวัด เลย

หากคุณเป็นคนหนึ่งที่ติดใจบรรยากาศเขียวชอุ่ม มีภูเขาสูงอุดมสมบูรณ์และแม่น้ำลำธารห้อมล้อม  บริเวณโดยรอบมีหุบเขาอันลึกลับ ป่าหิน ถ้ำหิน และถ้ำหินย้อยมากมาย ที่สำคัญอากาศดีมากๆ อย่างคุนหมิน ประเทศจีนล่ะก็  วันนี้ไม่ต้องไปไกลถึงเมืองจีนพี่ไทยของเราก็มีทัศนียภาพแบบนี้ให้ได้ชื่นชมกัน ที่สำคัญ อากาศดีไม่แพ้กันเลยทีเดียว นั่นคือที่ “สวนหินผางามจ.เลย” หรือที่ใครๆพากันเรียกว่า “คุนหมิงเมืองไทย” ณ ที่นี่ จะได้พบกับ แนวผาหินปูนสูงใหญ่ทอดตัวเป็นแนวยาวโดดเด่นท่ามกลางทุ่งหญ้าเขียวขจี  ภายในมีเส้นทางเดินสลับซับซ้อน บางช่วงดูลึกลับตื่นเต้นคล้ายกับผจญภัยอยู่ในเขาวงกตบางช่วงต้องปีนป่ายเพิงหิน หรืออาจต้องมุดลอดโพรงถ้ำ นอกจากนี้ตลอดเส้นทางยังมีโอกาสพบเห็นต้นไม้หายาก และต้นไม้ยักษ์อย่างปรงเขาที่มีอายุหลายร้อยปี  อากาศภายในเย็นสบาย ถ้ามีเวลาไม่มาก แนะนำมาที่นี่รับรองจะรู้สึกเหมือนไปเยือนคุนหมิงในเวลาอันรวดเร็ว 

9 ที่เที่ยวบาหลี...ดินแดนนี้มีมนต์ขลัง สักครั้งต้องไป

1. หมู่บ้านคินตามณี  (Kintamani)

x

หมุ่บ้านคินตามณี (Kintamani) เป็นหมู่บ้านที่มีความสวยงาม  ตั้งอยู่ริมปากปล่องภูเขาไฟกุนุง บาตูร์ มีทะเลสาบบาตูร์ และภูเขาไฟกุนุงบาตูร์เป็นฉากหลัง เป็นจุดชมวิวที่สวยงามแห่งหนึ่งของบาหลี อากาศเย็นสบาย นักท่องเที่ยวนิยมมารับประทานอาหารที่ร้านอาหาร ชมวิวทิทัศทะเลสาปและภูเขาไฟเป็นจำนวนมาก การเดินทางสู่ Kintamani Highland อาจจะต้องใช้เวลาค่อนข้างนานนิดนึง เพราะว่าทางขึ้นเขามีความลาดชัน แต่วิวข้างทางสวยงามสุดยอดมากๆ  การเดินทางเข้าหมู่บ้านคินตามณี จะต้องเสียค่าเข้าหมู่บ้าน คนละ 10,000 รูเปี๊ยะ และ ค่ารถ 5,000 รูเปี๊ยะ 

2.วัดเบซาห์กี (Pura Besakih)

�

Photo : Wikipedia

วัดเบซากีห์ เป็นวัดทางศาสนาพุทธที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานที่สุด มีขนาดใหญ่ที่สุด และถือว่าเป็นวัดที่มีความสำคัญมากๆ วัดหนึ่งบนเกาะบาหลีแห่งนี้  เรียกได้ว่าเป็น "วัดหลวง" เลยก็ว่าได้  นอกจากจะมีความยิ่งใหญ่ อายุยาวนานแล้ว ความสวยความของฉากหลังที่เป็นภูเขาไฟกุนุงอากุง ซึ่งถือว่าเป็นภูเขาไฟที่สูงที่สุดของเกาะบาหลี ก็ทำให้วัดแห่งนี้มีความสวยงามมากยิ่งขึ้น ทำให้นักท่องเที่ยวพากันมาสักการะมากต่อเนื่องตลอดทั้งปี

3.วัดอูรูวาตู (Pura Uluwatu)

Photo : Wikipedia

วัดอูรูวาตู (Pura Uluwatu) มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสามของเกาะบาหลี มีลักษณะเด่นในเรื่องของความสวยงาม เพราะตั้งอยู่ริมหน้าผามหาสมุทรอินเดีย ไฮไลท์ของการมาชมวัดแห่งนี้ คือจุดชมวิวหน้าผาและมหาสมุทรอินเดีย ที่มีน้ำทะเลสีครามสาดเข้ากระทบกับแนวหน้าผาได้อย่างสวยงาม อีกทั้งยังสามารถมองวิวมหาสมุทรได้อย่างสุดลูกหูลูกตาอีกด้วย เป็นสถานที่มีคนนิยมมาชมพระอาทิตย์ตกดินมากอีกแห่งหนึ่งของเกาะบาหลีเลยก็ว่าได้

4.วัดทานาล็อต (Tanah Lot)

Photo : tanahlot.net

Photo : Wikipedia

ทานาล็อต (Tanah Lot) เป็นวัดที่สำคัญของบาหลี เป็น 1 ใน 5 วัดที่ตั้งอยู่บริเวณชายหาด ริมทะเล สร้างขึ้นโดยนักบวชฮินดู ชื่อว่า ดัง ฮยัง นิราร์ธา ตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 11 เพื่ออุทิศแด่เทพเจ้าและปีศาจแห่งท้องทะเล เวลาน้ำขึ้นจะดูเหมือนวัดตั้งอยู่กลางทะเล เวลาน้ำลงผู้คนจึงจะสามารถเดินข้ามทางเดินไปยังตัววัดได้  เป็นวัดที่มีความศักดิ์สิทธิ์ซึ่งชาวบาหลีให้ความเคารพบูชาอย่างมาก มีทิวทัศน์และบรรยากาศที่สวยงามและด้านนอกก็เป็นตลาดขายสินค้าพื้นเมืองราคาถูกที่นักท่องเที่ยวนิยมไปกัน

5.ชายหาดคูต้า (Kuta Beach)

ชายหาดคูต้า  ตั้งอยู่ห่างจากสนามบินนานาชาติงูระห์ไร เพียง 2-3 กิโลเมตรเท่านั้น นับเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมของบาหลี(คล้ายพัทยา บ้านเรา) ไฮไลท์ที่ไม่ควรพลาดเมื่อมาเยือนชายหาดแห่งนี้คือ ความสวยงามของบรรยากาศยามพระอาทิตย์ตกดินริมชายหาดคูตะ ที่มีความสวยงามมาก นอกจากนี้บริเวณริมหาดที่มีทางยาวกว่า 8 กม. ก็เต็มไปด้วยร้านค้า แหล่งบันเทิง ซึ่งเป็นสีสันการท่องเที่ยวของบาหลีแห่งนี้เลยก็ว่าได้

6.บ่อน้ำพุศักดิ์สิทธิ์ วัดเทมภัคสิริงค์

(Obyek Wisata Tirta Empul)

 

วัดเทมภัคสิริงค์ เป็นวัดที่มีชื่อเสียงมากอีกแห่งหนึ่งของเกาะบาหลี  ภายในวัดจะมีบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ซึ่งผุดพรายน้ำขึ้นมา ซึ่งชาวบาหลีล้วนเคารพบูชาวัดนี้ด้วยเชื่อว่ากำเนิดมาจากพระอินทร์ จึงมีชาวบ้านและนักท่องเที่ยวเป็นจำนวนมากนิยมมาอาบน้ำ เก็บน้ำไปดื่มกิน เพราะเชื่อว่าน้ำจากบ่อศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้สามารถรักษาโรค ต่างๆ ขับไล่สิ่งเลวร้ายและจะเป็นสิริมงคลแก่ชีวิตเมื่อได้อาบหรือดื่มกิน

7.วัดอูลันดานูบราตัน (Pura Ulun Danu Bratan)

Photo : ulundanuberatanbali.com

วัดอูลันดานูบราตัน (Pura Ulun Danu Bratan) เป็นวัดพุทธ-ฮินดูที่สร้างในศตวรรษที่ 17 อุทิศให้แก่เทพีแห่งน้ำและท้องทะเล สร้างอยู่บนเกาะกลางทะเลสาบ เป็นวัดที่สวยงามมากที่สุดแห่งหนึ่งของบาหลี มักได้พบภาพวัดแห่งนี้ใช้ในการโปรโมทการท่องเที่ยวของบาหลี หรือตามนิตยสารท่องเที่ยวอยู่เสมอ เป็นวัดที่ใช้ประกอบพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับการแสดงความเคารพต่อเทพีแห่งทะเลสาบ ตั้งอยู่บริเวณกลางน้ำ ริมทะเละสาบบราตัน มีฉากหลังเป็นภูเขาไฟสูง 

8. วัดถ้ำช้าง (pura goa gajah)

 

Photo : Wikipedia

อีกหนึ่งที่เที่ยวสำคัญทางศาสนา ที่เมื่อมาเยือนบาหลีแล้วไม่ควรพลาดต้องยกให้ที่นี่  ปุรากัวกาจาห์ (Pura Goa Gajah) หรือ วัดถ้ำช้าง ถูกค้นพบโดยนักโบราณคดีชาวดัตช์ เมื่อปี ค.ศ. 1923  มีสิ่งที่โดดเด่นคือแผ่นหินแกะสลักหน้าปากทางเข้าถ้ำ ลักษณะเป็นการเจาะจากด้านหน้าของหินผา มองดูคล้ายใบหน้าช้าง บางก็ว่าคล้ายยักษ์อ้าปากกว้าง ชาวบาหลีเชื่อว่าคือปากของปีศาจร้าย ภายในถ้ำเป็นรูปตัวที ด้านหนึ่งจะเป็นรูปปั้นพระพิฆเนศ อีกด้านเป็นรูปปั้นศิวลึงค์ 3 แท่ง แทนเทพ 3 องค์ คือ พระศิวะ พระวิษณุ และพระพรหม ตามความเชื่อของฮินดู ด้านหน้าปากถ้ำเป็นสระศักดิ์สิทธิ์ มีน้ำไหลพุ่งจากปากปล่องแกะสลักเป็นรูปอิสตรี 6 นาง ชาวบาหลีเชื่อว่า ถ้าใครอยากมีลูก ลองมาดื่มหรืออาบน้ำที่นี่ จะมีลูกสมปรารถนา

9. ตลาดอูบุด (Ubud Market)

ตลาดอูบุด (Ubud Market) ในที่สุดก็ได้เวลาซื้อหาของฝาก ณ ตลาดอูบุดแห่งนี้เป็นตลาดสินค้าแบบขายส่ง ราคาสินค้าถูกกว่าที่อื่นและยังเป็นศูนย์กลางของงานศิลปะของบาหลีอีกด้วย 2 ฝากฝั่งร้านค้าในตลาดแห่งนี้เต็มไปด้วยงานฝีมือ งานศิลปะและแกลเลอรี่ที่จัดแสดงงานศิลปะมากมาย แต่บอกว่าการมาซื้อของที่ตลาดแห่งน้ ต้องต่อราคาให้ดี มิฉะนั้นอาจจะซื้อในราคาที่แพงกลับไปได้

เยลโลว์สโตนช่วงหน้าหนาว ธรรมชาติสุดอัศจรรย์ที่ซ่อนตัวอยู่ใต้หิมะ

  เยลโลว์สโตนช่วงหน้าหนาว ธรรมชาติสุดอัศจรรย์ที่ซ่อนตัวอยู่ใต้หิมะ

ภาพของ "อุทยานแห่งชาติเยลโลว์สโตน" (Yellowstone National Park)ในช่วงฤดูหนาว โดยฝีมือการถ่ายภาพของ Trent Sizemore ทำให้คนทั่วโลกต้องหันกลับมามองการท่องเที่ยวอุทยานแห่งนี้ในช่วงฤดูหนาว ด้วยเป็นภาพที่งดงามแปลกตา ไม่เหมือนกับภาพที่เราสามารถเห็นในช่วงฤดูร้อน ซึ่งจากในภาพของ Trent สะท้อนให้เห็นว่าท่ามกลางหิมะอันหนาวเหน็บที่นี่ก็มีความน่าสนใจและมีความสวยงามซ่อนอยู่มากมาย หิมะที่ปกคลุมทั่วทั่งอุทยานสีขาวโพลนก็ไม่สามารถที่จะลบล้างน้ำพุร้อนที่พวยพุ่งขึ้นมาจากผืนดินได้ ซึ่งนั่นคือเอกลักษณ์ของอุทยานแห่งนี้เลยทีเดียว

        
          อุทยานแห่งชาติเยลโลว์สโตน (Yellowstone National Park) เป็นจุดหมายปลายทางที่คนทั่วโลกอยากที่จะมีโอกาสได้เข้าไปสัมผัส เพราะในดินแดนแห่งนี้มีสิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติมากมายที่ซ่อนตัวอยู่ ไม่ว่าจะเป็นบ่อน้ำพุร้อนขนาดใหญ่มหึมา ภูเขาไฟ ป่าเขากว้างขวาง ซึ่งแต่ละสิ่งล้วนแต่ทำให้มนุษย์อย่างเรารู้สึกตัวเล็กไปเลยทีเดียว

          อุทยานแห่งชาติเยลโลว์สโตน ครอบคลุมเนื้อที่ทั้งหมด 3 รัฐในสหรัฐอเมริกา ได้แก่ รัฐไวโอมิง (Wyoming) รัฐมอนทานา (Montana) และรัฐไอดาโฮ (Idaho) โดยมีเนื้อที่มากที่สุดอยู่ในรัฐไวโอมิง เนื้อที่ทั้งหมดของอุทยานมีประมาณ 2,219,789 เอเคอร์ ภายในอุทยานประกอบไปด้วยพืชพรรณต่าง ๆ มากกว่า 1,500 สปีชีส์ สัตว์ป่าอีกกว่า 400 สปีชีส์ รวมทั้งเป็นบ้านของภูเขาไฟที่ยังมีชีวิตที่ใหญ่ที่สุดในโลกอีกด้วย ซึ่งภูเขาไฟที่นี่ไม่ได้เป็นภูเขาลูกใหญ่เหมือนภูเขาไฟทั่วไป แต่เป็นหลุมขนาดใหญ่ใต้พื้นดินที่เก็บสะสมแม็กมาไว้มากมายมหาศาล โดยความร้อนเหล่านี้ถูกถ่ายทอดออกมากลายเป็นน้ำพุร้อนมากกว่า 10,000 จุด พร้อมทั้งบ่อน้ำพุร้อนอีกกว่า 300 แห่ง

          ด้วยความหลากหลายทางธรรมชาติ รวมทั้งเป็นพื้นที่ที่ต้องมีการเฝ้าสังเกตการณ์ต่อการเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติอย่างใกล้ชิด ที่นี่จึงได้รับการแต่งตั้งให้เป็นอุทยานแห่งชาติแห่งแรกของโลกและของสหรัฐอเมริกา ในวันที่ 1 มีนาคม ปี ค.ศ. 1872

          เมื่อนักท่องเที่ยวเข้ามายังอุทยานแห่งชาติเยลโลว์สโตน ก็จะมีกิจกรรมให้ได้ทำมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการเดินป่า ปีนเขา ขี่ม้า ตกปลา พายเรือ ขี่จักรยาน นอนแคมป์ ฯลฯ รวมทั้งไปเที่ยวชมยังสถานที่ท่องเที่ยวที่ห้ามพลาด อาทิ ทะเลสาบเยลโลว์สโตน (Yellowstone Lake), สะพานตกปลา (Fishing Bridge), น้ำพุร้อน Old Faithful, บ่อน้ำพุร้อน Grand Prismatic, ภูเขา Washburn, น้ำตก Gibbon, สระน้ำ Morning Glory เป็นต้น

          นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่เลือกที่จะไปเที่ยวอุทยานแห่งชาติเยลโลว์สโตนกันในช่วงปลายฤดูหนาว

จนถึงฤดูใบไม้ผลิ เพราะจะทำให้เดินทางท่องเที่ยวภายในอุทยานได้ง่ายกว่า สามารถเห็นความงดงามของธรรมชาติได้อย่างหลากหลาย แต่ก็ใช่ว่าในช่วงฤดูหนาวไม่น่าสนใจ เพราะที่นี่จะกลายเป็นที่เล่นสกีและสโนบอร์ดที่กว้างขวาง ธรรมชาติต่าง ๆ จะสวยงามแปลกตา ดั่งที่ Trent Sizemore ได้ถ่ายทอดออกมาให้เราได้ชมกัน

          หากใครมีโอกาสได้ไปเยี่ยมเยือนสหรัฐอเมริกา ก็อย่าลืมที่จดอุทยานแห่งชาติเยลโลว์สโตนลงไปในสถานที่ท่องเที่ยวที่ห้ามพลาดด้วยนะคะ รับรองได้เลยว่าที่นี่จะทำให้คุณเห็นความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ ซึ่งแฝงไปด้วยความสวยงาม แล้วคุณจะต้องตกหลุมรักที่นี่แน่นอน :)